Thursday 14 January 2021

วิธีขโมยอย่างศิลปินคือ...

 


วิธีขโมยอย่างศิลปินคือ...
หยิบจับทีล่ะส่วนของความงาม(ความงามมุมมองส่วนตัว)ในเนื้องานของศิลปินท่านอื่นหรือสิ่งแวดล้อมมารวมเป็นของตัวเอง
เราเคยสอนเทคนิคนี้กับเด็กผู้อยากออกแบบคาแรคเตอร์เป็นของตนเอง แน่นอนว่าการจะใช้วิชาขโมยอย่างศิลปินนั้นมันก็มิใช่จะทำได้เลย... บางคนอาจงงเราก็เลยอธิบายหลักการแบบวิชาการ ก็คงเหมือนวิชาเลข 1+1=2 นะแหละ  ซึ่งหลักการการออกแบบหรือขโมยมานั้นมันก็คงเริ่มต้นจากการลอกประมาณแบบนี้นั่นเอง เราลอกให้ได้แล้วพอค่อยๆทยอยลอกหลายๆแบบจนกระทั่งเปลี่ยนการลอกเป็นหน่วยความจำและจากคล้ายกลายเป็นไม่คล้ายในที่สุด

ดังนั้น วิธีขโมยศืลปินอย่างไรให้ชำนาญ...(สำหรับคนเริ่มจาก0)  ใครที่อยากจะฝึก เราจะขออธิบายอย่างง่ายๆประมาณ 4 ข้อดังนี้

1.การลอกสิ่งที่ไม่ยากเกินความจำของเรา เช่นจำท่าทาง จำกิริยาบทของคาแรคเตอร์ ดีไซน์ โดยหาภาพเรฟ อาจเริ่มต้นที่ 3-5 แบบ แล้วมาประกอบเป็นรูปร่าง เช่น ท่าชี้นิ้ว+ท่ายืนตรง + หน้ายิ้ม + ชุดแต่งกาย = ของเราเพียงหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นค่อยๆเพิ่มความซับซ้อนขึ้นมา จนสมองนั้นมีความชำนาญในการจำอย่างแม่นยำมากขึ้น จากเรฟ 2-5 แบบ เป็น เรฟ 10 แบบขึ่้นไป...

2.พอเราผ่านข้อแรกแล้ว ต่อมาคือการจำแบบผ่านตาหรือแบบบรรยากาศอาจประมาณ 100 ภาพแล้วรวมเป็น 1 ภาพ ซึ่งการจำนั้นไม่ใช่จำแค่ภาพที่มีอยู่ในหนังสือหรือภาพที่มีในตำรา อาจจะรวมถึงจำวิิถีชีวิตของตนเองจำหนัง จำมุมมองไดนามิกของเกมส์ และอื่นๆอีกมากมายแล้วรวมจนเป็นหนึ่ง และที่สำคัญของกฎข้อนี้คือ การจำผ่านตาเราจะไม่สามารถเอามาได้ทั้งหมด แต่จะเป็นการหยิบจับเท่าที่จำได้แล้วรวมเป็นหนึ่ง

3. วิธีจำที่ดีและได้ผลคือจำในสิ่งที่ชอบ ชอบมากๆ ชอบวิถีของมัน ชอบแสง ชอบดีไซน์ ชอบการดำรงชีวิต แล้วมันจะซึมเข้าสู่ความจำของคุณเอง  ดังนั้นลองคิดดูว่าเราชอบอะไรในชีวิตบ้างแล้วเอามันมาประกอบร่างกัน

4.  สรุปท้ายสุด เมื่อเราผ่านวิถีทั้งสามข้อข้างต้นแล้ว มันจะก่อเกิดความเคยชินจนกลายเป็นรสนิยมส่วนตัวขึ้นมาและในที่สุดเราจะเป็นคนหยิบจับอะไรได้ง่ายโดยใช้รสนิยมส่วนตัวของตนเองนั้นในการสร้างจากเหมือนเป็นไม่เหมือนโดยมีสตอรี่หรือรสนิยมนั้นเข้ามาเป็นส่วนเอี่ยวนะเอง

เหตุผลของความสวยงามของความว่างเปล่า

 


หลังจากห่างหายจากการเขียนบทความมานานแสนนาน...มากๆ หรือเรียกว่าไม่ได้แตะเลย บางครั้งก็อยากเล่าสิ่งทีี่พึ่งเกิดขึ้น... อย่างน่าตกใจ
เหตุผลการเดินจากไปของชีวิต การลดความรู้สึกที่เอาออกไม่ได้  หรือเรียกว่า การฆ่าตัวตาย การปลดปล่อยตัวเองออกจากสิ่งที่อยู่ ณ จุดๆนี้

======================== เกริ่นมาขนาดนี้เราจะขอไม่กล่าวว่าทำไมถึงพิมพ์สิ่งนี้ออกมา แน่นอนมันมีที่มาที่ไปที่อยากจะเล่า

ความรู้สึกแรก... ทำไมบางคนถึงเลือกที่จะจากโลกนี้ไปอย่างง่ายดาย ชั่ววูบงั้นรึ? หรืออื่นๆ นั่นไม่ใช่หรอก มันมีเหตุผลแน่นอน... จากความรู้สึกที่ประสบมา

ซึ่งไม่รู้จะทดแทนความรู้สึกของใครได้ไหม  การที่เราตัดสินใจเดินทางไปสู่ความว่างเปล่าซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วไปอาจจะกลัวเพราะมันคือสิ่งที่ไม่รู้... แต่สำหรับบางคนนั้น

การไม่รู้สึกอะไรเลยย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า และนั่นล่ะจึงเป็นที่มาของความสวยงามของความว่างเปล่าหรือโลกหลังความตายนั่นเอง

โอ้..พิมพ์มาขนาดนี้ จะมีใครห่วงอะไรกะเราไหม? ขอบอกเลยไม่ต้องห่วงเรายังคงมีเครื่องค้ำจุนตนเองอยู่.....ดังนั้นมิต้องห่วง...

กล่าวมาถึงตรงนี้ จะเล่าให้ฟังว่าทำไมบางคนถึงเลือกจะไปสู่ความว่างเปล่านั้นซึ่งสวยงามจังเลย...♥  เราขอใช้ความคิดส่วนตัวมาประกอบนะซึ่งไม่รู้จะตรงใจใครไหม

อย่างที่เราบอกก่อนหน้า "การไม่รู้สึกอะไรเลยย่อมดีกว่า"   ในภาวะของคนที่ต้องการเดินไปสู่ความว่างเปล่า ทำไมถึงมีความคิดนี้ออกมา ใช่แล้ว..ความรู้สึกมีหลากหลายมากมาย ทั้งดีใจและเสียใจ
ทั้งสุขและทุกข์ ทั้งอื่นๆมีให้เลือกสรร แต่สำหรับบางคนการที่ต้องวกวนอยู่กับความรู้สึกจุกในอกพูดไม่ได้คายไม่ออก ทั้งที่พูดออกไปก็อาจจะได้คำตอบเดิมๆที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
อีกทั้งอาจแสดงความอ่อนแอที่บางคนหรือบางกลุ่มอาจมองว่าน่าสมเพชได้รวมถึงตัวผู้แสดงเองอาจจะรังเกลียดด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ความรู้สึกนี้ยังคงวกวนและจุกในอกเสมอเพราะเราไม่สามารถแสดงอะไรออกมาได้เลย...มันจึงเป็นที่มาว่า "อย่าได้รู้สึกอีกเลย" จนนำไปสู่เห็นความสวยงามของความว่างเปล่าเบื้องหน้า การไม่รู้สึก ไม่รับรู้ ไม่ต้องเข้าใจอะไร นั่นคือทางออกที่ดีที่สุด...   ใช่แล้ว..คือทางออกที่ดีที่สุด... เป็นทางออกที่สมเหตุผลที่สุดและตัดสินใจดีที่สุดในการเดินทางนั่นเอง

มันจึงทำให้เกิด...ความว่างเปล่าที่สวยงาม...  มันจะสว่างหรือมืดเราก็ไม่รู้ มันจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจในการเดินทางสำหรับผู้ไม่อยากรู้สึกอะไรอีกต่อ...

==========================================================================================

พูดถึงขนาดนี้...พิมพ์ถึงขนาดนี้ ถามตัวแนนหรือเรานั้นเข้าใจอะไรไหม? เราอาจไม่ถึงจุดที่อยากส่องความสวยงามนั้น แต่เราเคยได้รับรู้ความรู้สึกนั้น
ความรู้สึกที่ว่า "อย่าได้รู้สึกอะไรอีกเลย"  ทุกสิ่งทุกอย่างมันจุกในอก จะพูดก็ไม่ได้จะคายก็ไม่ได้ ความรู้สึกทีวกวนคือการจมดิ่งถึงเหตุความล้มเหลวในช่วงชีวิตที่ผ่านมา
เหตุผลที่เกิดขึ้นในหัว "ทำไม? และทำไม?" คำถามมากมายที่ขึ้นต้นด้วยทำไมในในที่สุดก็ ลงเอยด้วย "ทำไมต้องรู้สึกทำไมต้องอยู่ต่อ" จวบจนเวลานั้นเกิดขึ้น...
ความรู้สึกปรางอยากจะหายานอนหลับเป็นกำมือมาทาน จะสื่อสารกับใครก็คงจะมีหลายเหตุผลหลายสิบคำพูด ไม่มีจุดที่ลงตัวแน่นอน ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนนัั้นคือการปล่อย "โฮ" อย่างรุนแรงฟูมฟายอย่างเงียบๆอย่างไร้เหตุและผล...จุดปิดก๊อก...ที่ตอนเราและทุกคนวัยเด็กได้เคยกระทำมา เราเจ็บเราก็ร้อง  เราป่วยเราก็๋ร้อง เราอยากมีชีวิตเราก็ร้อง...   ถ้าความรู้สึกจุกแน่นนั้นมันปวดร้าวมากเกินกว่าจะรับได้ก็งอแงอย่างเงียบๆเช่นทารกที่ไร้เหตุผล... น้ำตาและการร้องไห้มันเป็นเครื่องมือเดียวที่สร้างขึ้นได้ไวและขัดกรองได้ไวที่สุด 

โอ้... อ่านมาขนาดนี้ หลายคนอาจจะมองว่าไร้สาระชะมัดเข้าใจคนที่อยากจะไปสู่ความว่างเปล่าได้ดีขนาดนั้นเชียวรึ...?

ถ้าจะให้เราตอบ เราจะตอบว่าเราไม่ได้เข้าใจอะไรขนาดนั้น เพียงแค่พิมพ์ออกมาเฉยๆ จะอ่านไม่อ่านก็แล้วแต่...

แต่สิ่งที่อยากจะถามคือ  "คุณเคยทำตัวไร้สาระครั้งสุดท้ายในชีวิตเมื่อไหร่?"   การปลดปล่อย ร้องดังๆ ไร้สาระ คนบ้าคนหนึ่งในที่เงียบๆของเรา

เพ้อเจ้อ โลกแห่งความว่างปล่า จิตนาการโลกหลังม่านมืด หรือช่างมันแล้วปล่อยโฮสุดเสียง นั่นคือการทำตัวไร้สาระอย่างหนึ่ง  ถึงมันไมไ่ด้ช่วยได้เยอะ

แต่ก็ช่วยเยียวยาได้บ้าง....แค่ซักครู่ ยืดระยะเวลาในการคิดถึงการเดินทางไปสู่ความว่างเปล่านั้น... มันก็แค่ยืดเวลา... แต่อย่างน้อยก็ได้คิดล่ะนะ... นั่งคิด นอนคิด กลิ้งไปกลิ้งมาคิด...  การได้คิดคือการมีชีวิตอยู่และจงอย่าลืม คิดมากๆเครียดใช้พลังงานเยอะ จงไปแดก!!! แดกเท่านั้น!! (จบมันดื้อๆนี่ล่ะ พิมพ์สดนี่วะ)

ศิลปินหรือจอมเวทย์?และความคิดในเชิงรูปธรรมที่ไม่ได้กระทำจริง

 


 

คุณคิดว่านักวาดภาพหรือพวกทำอะไรเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ภาพ(เพลง/กวี/บลาๆ)เป็นพวกจอมเวทย์ไหม? ใครๆก็อยากเห็นภาพในหัวของตัวเองใช่มะ ซึ่งสายอาชีพอื่นอาจไม่สามารถทำแบบสายอาชีพเรา...ดังนั้น แรงกดดันมหาศาลทางความรู้สึกในด้านลบและบวกเล็กๆจึงแสดงออกผสมอยู่ในนั้น ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะด้วย

ในเชิงเหตุผลว่า..ศิลปะหรือการสร้างสรรค์งานออกมาเป็นรูปธรรม(ตัวหนังสือ/เสียง/บลาๆ)ถึงเป็นสิ่งที่ดีและน่าอิจฉาของใครหลายคน เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จะเล่าถึงความคิดภายในใจของคนผู้นั้นเหมือนได้ระบายความรู้สึกจากก้นบึ้ง ไม่ว่าจะวาดแนวน่ารัก แนวสร้างโลก แนวมืดมนในหัวใจหรือหื่นๆอย่างไรก็ตาม ล้วนเป็นการระบายออกมาเพื่อให้ตนเองนั้นหรือตัวบุคคลผู้สร้างสรรค์(ศิลปิน)นั้นยังคงรับรู้ถึงรูป รส กลิ่น เสียง ที่จับต้องและมองเห็นได้อย่างสุนทรีย์ และไม่เผลอไปกระทำจริงในโลกแห่งความจริงนี่ล่ะคือข้อดีของผู้ที่สามารถสร้างสรรค์งาน

และอย่างไรก็ตามที่กล่าวมาทั้งหมดมันก็สอดคล้องไปในเชิงศิลปะบำบัดจิตใจคน แนนเองก็เคยมีความคิดว่า "เราอยากรู้จักฆาตกรผ่านทางศิลปะของเขา(ถ้าเขาวาดภาพได้เล่นดนตรีได้) รู้จักความคิดในเชิงลบผ่านทางอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่การกระทำท่ี่ชั่วร้ายแต่มันคือการเอาลงเฟรมหรือปลดปล่อยลงในพื้นที่ๆไม่สร้างตวามเดือดร้อนให้ใครหรือแม้แต่บุคคลเป็นโรคซึมเศร้า" ทำไมแนนถึงสนใจในเชิงลบมากมายนักเพราะว่าสิ่งพวกนี้บางคนอาจมองว่ามันไม่น่ามอง มันจึงทำให้เกิดการไม่อยากแสดงออกแล้วพอไมไ่ด้แสดงออกมามากๆก็กลายเป็นว่าต้องระบายลงโลกความจริงอย่างน่าตกใจ แต่ว่าศิลปะหรือการสร้างสรรค์งานมันทำให้เราเห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังคิดอะไรโดยไม่ได้ทำร้ายใครซึ่งมันน่าสนใจดี...



แรงบันดาลใจในทางสามสาย

 

 


แรงบันดาลใจในทางสามสาย

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจถึงแรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจคืออะไร?  
แรงบันดาลใจคือ การกระทำที่ถูกส่งต่อมาจากสิ่งที่ตัวคนกระทำนั้นชื่นชอบโดยอ้างอิงลักษณะความชอบนั้นมากระทำต่อในเชิงลักษณะกึ่งเกือบลอกแต่ไม่ใช่ทางการลอกเสียทั้งหมด ในขณะที่ความชื่นชอบนั้นไม่มีการกระทำในเชิงลอกสืบต่อมา...

ใช่แล้วอย่างที่เข้าใจ... แรงบันดาลใจสามารถสรรค์สร้างกันได้ เพียงแต่ก็มีบ้างที่หมดความรู้สึกนั้นด้วยอะไร? 
ความชอบที่หดหาย  เป้าหมายที่ไม่ชัดเจน  ภาพที่ไม่มีในหัว ใช่แล้ว การสร้างแรงบันดาลใจมันมีปัจจัยหลายอย่างในการก่อเกิด 
แล้วจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรล่ะ? พี่แนนขอจะมาแบ่งกันเป็นข้อๆ ในการก่อเกิดแรงบันดาลใจ

1.ทางความรู้สึก
รส กลิ่น เสียง อารมณ์ สัมผัส เป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจได้เสมอ ยกตัวอย่างง่ายๆ ตัวคนเขียนนี่ล่ะ.. *-* ชอบของหวานช่วงหนึ่งก็เอาสีหวานๆมาเล่นในงาน รู้สึกถึงเสียงที่รบกวนพวกบาร์ลานเบียร์ที่มันเปิดเกะช่วงดึกคนวาดหงุดหงิดก็เลยระเบิดกับหมึก กลิ่นต่างๆถ้ารู้สึกดีไม่ดีให้ส่องกระจกดูสีหน้าตัวเองในตอนนั้น แล้วก็วาดออกมา...ทางเสียงเปิดเพลงฟังแล้วจิตนาการ หรือไปรับลมพวกเที่ยวธรรมชาติก็อาศัยความรู้สึกนั้นมาวาด ถ้าเจอพายุก็วาดตัวละครปลิว ทุกสิ่งทางความรู้สึกไม่มีอะไรที่แน่นอนเพราะมันเป็นลักษณะอิสระ ทั้งรูปทรง(พวกเสื้อปลิวใบไม้ปลิว) และนามธรรม (เสียงและความรู้สึก) เราต้องอาศัยสิ่งเล็กๆพวกนี้สังเกตและจดจำ มาปฏิบัตินั่นเองค่ะ 

2.ทางรูปทรง
หากยกตัวอย่างง่ายๆเลยคือ การสะสมภาพในหัวหรือการได้มองอะไรผ่านตามากๆ เช่น ตัวอย่างคนเขียนบทความนี้ชอบรูปปั้นเทวดาและนางฟ้าของอิตาลี่ ทางแนนก็สะสมไว้มากๆแล้วจดจำ จดจำในที่นี้คือการได้นึกคิดหรือประทับใจในรูปทรง ในแสงเงา ในการวางท่าต่างๆ แต่ว่าเราไม่สามารถลอกได้หมดเนื่องจากเราอาศัยการจดจำผ่านๆ สมองคนเราถ้าไม่มีอะไรพิเศษจะจดจำแบบจางๆ เราอาศัยสิ่งนั้นมาจดจำเท่านั้นแล้ววาด แต่ถ้าหากจะเน้นความชัดเจนเราต้องนำสิ่งนั้นมาลอกและทำซ้ำนั่นเรียกว่าการฝึก ซึ่งต่างการมองผ่านๆแล้วประทับใจมาวาดนั่นเอง แต่ทั้งการลอกและจดจำมาวาดก็มีความแตกต่างที่ชัดเจนอยู่ ถ้าหากได้ลงมือปฏิบัติ

3.ทางความรู้
ใช่ค่ะตรงตัว ทางความรู้ ชอบอะไรก็ศึกษาแบบนั้น ยกตัวอย่าง  ถ้าคุณชอบพวกต้นไม้มาก แล้วได้ลองวาดจนอิ่มใจทั้ง 2 ข้อข้างต้นแล้วแต่ไม่สามารถไปต่อได้ให้มาลองหาแรงบันดาลใจทางความรู้แทน ว่าต้นไม้มันมีอะไร มันคืออะไร ประกอบด้วย ส่วนนี้เปรียบเทียบกับอะไร? ยกตัวอย่างเช่น "ต้นไม้ไม่ชอบเพลงร็อคนูเมทัลมันจะตายไว" เป็นต้น หรือตัวอย่างเช่นแนนชอบรูปปั้นเทวดา แนนก็บ้าหาหนังสือแนวพวกเทพ 7 เทวทูต ปีศาจในคัมภีร์ต่างๆ จนกระทั่งเทพในประวัติศาสตร์อื่นๆมาสร้างแรงบันดาลใจทางรูปทรงและลักษณะนิสัยได้นั่นเองค่ะ

และหวังว่าสุดท้ายนี้เมื่อเราทำความเข้าใจตามข้อแล้วก็อย่าลืมลงมือ ปฏิบัติ นะ

วิธีแก้ปัญหา ART BLOCK ภัยร้ายของเหล่านักวาด

 

ART BLOCK คืออะไร?

...จากเป็นศพ เฮ้ย ประสบการ์ณตรงที่ไม่ค่อยจะเป็น ART BLOCK (ยอมรับว่าเป็นแต่ไม่เยอะ)  ยกเว้น กรณีเล่นเกมส์มาก + ขี้เกียจ <<< (อันหลังๆชักไม่ดี) เลยอยากมาเล่าสู่กับฟัง... ก่อนอื่นต้อมาทำความเข้าใจว่า  ART BLOCK คืออะไร?  คำตอบก็คือ

..... อาร์ตเป็นอิฐ  ....................................... ไม่ใช่!!



ART BLOCK คืออาการที่นักวาดทุกคนไม่ค่อยชอบคือ "การวาดอะไรไม่ออกเลยนึกภาพในหัวไม่มี..."
กรณีนี้จะเกิดขึ้นได้มีหลายปัจจัย และเท่าที่พบเจอมาจะมีกรณีที่ชัดเจน...คือ

- เบื่องานหรือเหนื่อยกับงาน
- คิดไม่ออกจริงๆ
- อีโก้ในความกลัว
 
วิธีแก้นั้นไม่ยาก แต่ที่ยากคือต้องเข้าใจหรือค้นหาว่าเราเป็นเนื่องจากสาเหตุอะไร? ถ้าค้นพบแล้วให้แก้ไขตามนี้
 
"เบื่อและเหนื่อยกับงาน"
แน่นอน วิธีแก้ง่ายๆ คือ ออกไปเที่ยวบ้างหรือดูหนังบ้างเล่นเกมส์บ้างตามแต่สมควรเมื่อรู้สึกว่าอิ่มพอแล้วก็กลับมาวาดใหม่
 
"คิดไม่ออกจริงๆ"
ในกรณีเป็นไปได้ว่า คลังภาพในหัวเรากำลังหมด (คนเราเวลาจะวาดภาพมันต้องอาศัยการมองรูปทรงต่างๆ จดจำเยอะๆ สะสมอยู่ในสมองแล้วประมวลออกมาเป็นภาพที่เราคิด) ให้ลองไปหาอาร์ตบุ๊คมาดูหรือออกไปเที่ยว บวกกับดูภาพเยอะๆ เพื่อเพิ่มพูนอะไรใหม่ๆเข้ามาในตัวอย่างสม่ำเสมอ หรือถ้าไม่คิดมากก็ลองหาอะไรมาฝึกวาดเล่นๆ แทนไปก่อน งานที่ไม่เน้นคิดมากแต่เน้นการคำนวณและกะระยะของสายตา เช่น การลอกภาพหรืองานประดิษฐที่ผสมกับภาพเราได้ เป็นต้น
 
"อีโก้ในความกลัว"
อันนี้แก้ค่อนข้างยาก แต่ไม่ได้แก้ไม่ได้นะ มักจะเกิดกับความคิดที่ว่าต้องสมบรูณ์แบบที่สุดหรือความคิดที่ก่อเกิดความกลัว  มันหมายความว่าไงล่ะ? ทั้งสองความคิดไม่ใช่เป็นเรื่องไม่ดี แต่มันต้องมีความพอดี จากที่เคยเจอมาในกรณีดังกล่าวและทำให้นักวาดวาดไม่ออกก็คือ..คิดงานต้องดีกว่าใครๆ หรือดีที่สุดแล้วจึงค่อยลงมือวาด ซึ่งไอเวลาคิดนี่ล่ะที่ทำให้เราขาด โอกาสที่จะแตะหรือสร้างผลงานออกมาแล้วสุดท้ายก็เกิดความกลัวจนไม่กล้าที่จะวาดในที่สุด (แนวคิดข้างต้นไม่ใช่ไม่ดี เพียงแต่ถ้ากล้าวาดออกมาเราว่าไม่น่าจะเสียหายแถมดีด้วยซ้ำ)
 
วิธีแก้ไม่ยาก

เพียงแต่มันยากที่ต้องมาปรับทัศนคติที่ว่า "สมบรูณ์ที่สุดแล้วค่อยทำ" ให้มาเป็น "ลงมือทำไปเลยแล้วคิดให้สมบรูณ์ไปพร้อมๆกัน"
(ที่เน้น "ค่อย" เพราะตั้งใจความหมายว่า กว่าจะลงมือทำ คือ ไม่ยอมทำซักทีมัวแต่คิดตลอด)
 
**ส่วนทำแล้วไม่พอใจงานชิ้นแรกชิ้นไหนๆ ถ้าคิดว่าไม่ดีไมต้องกังวล ลบทิ้งหรือโยนทิ้งแล้วก็ทำใหม่...
อย่ากลัวว่าชิ้นต่อไปจะไม่ดีเท่าชิ้นเดิม บางทีอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ

--------------------------------------------------------------------
 
ประเด็นโดยสรุปสั้นๆ ที่อยากจะบอก คือ

"วาดไปเถอะ อย่าไปคิดมาก"


ศิลปินนักวาดหลายคนที่ประสบความสำเร็จมาจาก ความคิดที่ว่า "ฉันจะวาดวาดมันให้ตายไปข้างหนึ่งโดยที่ไม่คิดอะไรมากเอาสิ่งที่เรารู้สึกหรืออยู่รอบตัวกับความชื่นชอบมาวาด" จนกระทั่งมารู้ตัวอีกทีวาดไปแล้วกว่าพันชิ้นงาน...

การตลาดกับนักวาด

 




การตลาดกับนักวาดหรือนักผลิตผลงาน

โลกปัจจุบัน... การตลาดเป็นสิ่งสำคัญมาก สำคัญอย่างไร? ขาดมันได้ไหม? สำคัญตรงที่อะไร? แล้วทำไมต้องมีมัน? 

ใช่แล้ว ตัวตนพื้นฐานของเรา นั่นคือ "มนุษย์เป็นสัตว์สังคม" เท่าที่ทราบที่ได้จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับบุคคลมาบ้าง มีคนบางกลุ่มอาจถนัดที่จะเดินตามไปกับสังคมที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว และบางคนเลือกที่จะสร้างสังคมด้วยทัศนะคติหรือมือตนเอง

อย่ารีบบอกว่า "ผลิตผลงานได้โดยไม่ต้องแคร์ใคร"

จากประสบการณ์ตรงตัวเราเองก็เคยคิดว่า ไม่จำเป็นต้องสนใจสังคม เรารักที่จะอยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่จนกระทั่งได้บรรลุสิ่งๆ หนึ่ง สุดท้ายคุณจะพูดว่าคุณไม่แคร์สังคมอย่างไรก็ตาม แต่ในที่สุดคุณก็ต้องสร้างสังคมเพื่อตัวคุณเองอาจจะได้มาอย่างไม่ตั้งใจหรือจงใจก็ตาม... และเมื่อมีสังคม ในที่นี้ต่อไป.. สังคมที่ถูกสร้างมีแนวคิดเดียวกันร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันจนสุดท้ายจะแข็งแกร่งจนแปรเปลี่ยนเป็น "แฟนคลับ" ในที่สุด... และแฟนคลับของเรานี่ล่ะจะเป็นสหาย ขับเคลื่อนเราไม่ทางปัจจัยก็ทางกำลังใจ...นั่นเอง

นั่น...คือเหตุผลว่า....ยังไงก็ไม่พ้นเรื่องของสังคม ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับความหมายการตลาด
การตลาดคือรสนิยมและเป็นกลุ่มก้อน แล้วเช่นกันสังคมก็คือกลุ่มคนจำนวนหนึ่งซึ่งอาจมีขนาดเล็กไปจนใหญ่ได้

สำหรับการตลาดหรือการสร้างเครือข่ายการตลาดของนักวาดจากที่สังเกตมาในหลายๆบุคคล ทางเราจำแนกพอสังเขปได้ดังนี้

1. การทำให้คนจดจำนึกถึง 
2. ทำในสิ่งที่อยู่ในความทรงจำ 
3. และสุดท้ายอิมแพคจนน่าจดจำ (ความประทับใจ)

- การทำให้คนจดจำนึกถึง***

สร้างงานหรือเสนอตัวให้คนจดจำบ่อยๆ แน่นอนคือ ไวไว้ก่อนมาก่อนหรือทำให้เห็นบ่อยๆ ได้เปรียบ เหมือนการมองโฆษณาตามทีวีบ่อยๆ นะแหละ ยิ่งเดี๋ยวนี้สื่อที่โดดเด่นน่าสนใจมีเยอะมาก การที่คนจะจำแล้วลืมเป็นเรื่องที่ง่ายมากในโลกปัจจุบัน ชะนั้นสิ่งที่ทำให้คนจดจำได้ตลอดคือการเสนอตัวตนของเราบ่อยๆ ไม่ขาดสายให้คนจดจำได้ ไม่ยาก เห็นแล้วจำได้เลย ไม่ต้องอ่านหรือทำความเข้าใจเยอะ ซึ่งก็เป็นการตลาดอีกแขนงหนึ่งที่ใช้ได้ผลเลยทีเดียว

- ทำในสิ่งที่อยู่ในความทรงจำ***

 นั้นคืออะไร แน่นอนสิ่งที่อยู่ในความทรงจำคือความประทับใจที่ตราตรึงอยู่ในใจของคนทั่วไปเสมอ เช่นการวาดแฟนอาร์ต การทำในสิ่งที่คนเห็นอยู่ในปัจจุบันหรือเสนอชีวิตประจำวันที่คนเคยชินอยู่ทุกวันจนพวกเขาต้องมาร้อง อ๋อ...และมีส่วนร่วมกับมันในที่สุด

- สุดท้ายโดดเด่นพอที่จะจำหรืออิมแพคจนน่าจดจำ ***

สิ่งนั้นก็คือ..เอกลักษณ์นั่นเอง... โดดเด่น อิมแพค น่าสนใจ ดึงดูด นานๆมาทีแต่ทำให้คนจดจำได้นาน ตะลึงๆ ...จนกระทั่งเป็นแรงบันดาลใจในที่สุด การตลาดนี้เป็นการดึงสังคมเข้ามาหาตนเองโดยไม่ต้องสร้างกระแสอะไรบ่อยมากนัก ซึ่งศิลปินในอดีตทำกันและใช้ความพยายามสูงมากและแน่นอนว่าโอกาสเป็น 50-50 คือไม่ดังก็ดับได้เช่นกัน...

....หลังๆ เราจึงเห็นศิลปินเกือบทุกคนเริ่มจะใช้แบบที่ 2 มาผสมแบบที่ 3 บางคนทำได้ถึงขนาด 1-2-3 เลยก็มี 
ชะนั้นอิสระกับตัวเองไม่มีทางจริงได้...นอกจากคุณจะตัดทางโลภทิ้ง แต่ยังไงคุณก็ต้องพึ่งญาติและคนอื่นๆมาทำบุญอยู่ดี...

.....จริงไหม?

กฎการแลกเปลี่ยนที่มาด้วยภาวะ

 กฎการแลกเปลี่ยน ทำไมจู่ๆแนนถึงเขียนบทความนี้ขึ้นมา... มันอาจเป็นช่วงภาวะที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ บนเวลานี้ หรือเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา ไม่ขอยกตัวอย่างแต่ถ้าเราคิดซักนิดจะเข้าใจ...ว่ากฎการแลกเปลี่ยนมีจริง
ทุกคนหลีกหนีไม่เคยพ้น... ไม่มีใครที่ให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทนกลับมา แม้แต่พระหรือเจ้าก็ตาม...  กฎว่าด้วยการแลกเปลี่ยน ไม่ได้หมายถึงการเงินหรือสิ่งของอย่างเดียว
แต่รวมไปถึงภาวะจิตใจ ภาษีสังคมหรือการแลกเปลี่ยนสิ่งที่ขาดหายของคนแต่ล่ะคน  อาทิเช่นอีกคนเก่งด้านการค้าอีกคนเก่งด้านศิลปะ ต่างคนต่างมีเหตุผลที่ต้องแลกเปลี่ยนกันก็จะมาเจอกันเป็นต้นนี้คือตัวอย่างของการทำงาน แต่ถ้าเราเจาะลึกไปทางด้านจิตใจล่ะ? กฎการแลกเปลี่ยนทางด้านจิตใจคืออะไร?   การให้ทางความรู้สึก แลกเปลี่ยนความเห็น การตอบโต้หรือการตอบสนองไม่ว่าทางวาจาหรือร่างกายก็ล้วนคือการแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น แม้กระทั่งที่เรากำลังยกตัวอย่างเรื่องทำบุญปากบอกว่าเราไม่หวังอะไรแต่ในใจเราหวังว่าความดีจะสนองมาหาเราเข้าซักวัน ก็เหมือนพระที่ให้ เหมือนพระเจ้าที่ให้คำสอน ถึงไม่หวังให้สำเร็จก็หวังแค่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนบ้างซักวัน...

อ่าวกล่าวมาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับหัวข้อ "แลกเปลี่ยนที่มาด้วยภาวะ...?"  ต่างๆที่ว่าคืออะไร?การแลกเปลี่ยนมีทั้งดีและไม่ดี แลกเปลี่ยนที่ดีคืออะไร ถ้าเน้นการให้เป็นหลักต้นการแลกเปลี่ยนว่าด้วยให้ไปและ"รอ"เวลาคือการแลกเปลี่ยนทางจิตใจ    การแลกเปลี่ยนที่สองที่ทุกคนค่อนข้างใช้กันมากการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมส่วนมากจะใช้กับคนที่รู้จักกันมากกว่าคนที่เข้าใจกัน กฎของการแลกเปลี่ยนนี้มีทั้งด้านการเงิน สิ่งจับต้องได้(กาย/สิ่งของ) หรือความรู้สึก วาจา และคารม ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นกับการแลกเปลี่ยนกับคนที่เรารู้จักมิใช่คนที่เข้าใจ หากวันหนี่งกฎการแลกเปลี่ยนว่าด้วยคนรู้จักกันแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันเริ่มไม่เท่าเทียมสิ้งที่เกิดขึ้นคือ...อารมณ์จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องนั่นล่ะที่จะบ่งบอกถึงหัวข้อของภาวะ ทำไม?หลายครั้งที่มีการฆ่ากัน ต่อย ตบ ตี ทำร้าย นินทาหรืออื่นๆเกิดขึ้น เพราะกฎของการแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียมของคนที่รู้จักกันแต่ไม่ใช่คนที่เข้าใจกัน จึงทำให้เกิดภาวะความไม่เท่าเทียมได้เร็วขึ้น... ว่าด้วย"คนรู้จัก"กับ"คนเข้าใจ" ไม่ใช่หมายถึงคนที่อยู่ตรงหน้าเราเสมอไปหรือคนอื่น แต่มันเป็นนัยยะความหมายถึงตนเองได้เช่นกัน
ถ้าเราเข้าใจตนเองเราจะเข้าใจคนอื่น   ถ้าเราไม่เข้าใจตนเองทำได้แค่รู้จักตนเองเราก็จะรู้จักแต่คนอื่น ทำไมแนนถึงคิดเช่นนี้?  ถ้าหากเราเข้าใจตนเองจริงๆเราจะเข้าใจและเห็นใจผู้อื่นเหมือนกัน ดั่งเรารักชีวิตเราเขาก็ต้องรักชีวิตเขา เราเข้าใจว่าต้องเลือกเขาและเธอก็ต้องเลือก   ถ้าหากเราทำได้เพียงรู้จักแค่ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่เราจะไม่รู้ว่าอีกคนคือใครเราอาจจะเดินไปด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างแรงกล้ารุ้จักตัวเองเพียงชั่ววูบแล้วไปกระทำต่อผู้ที่รู้จักหรือเคยรู้จัก... หลายต่อหลายครั้งคนเข้าใจจะกลายเป็นเพียงคนรู้จักเพียงเพราะว่ากฎของการแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียม เราต้องมานั่งคิดว่าที่เรานั้นเกิดภาวะไม่พอใจ ภาวะโกรธ ภาวะครุ่นคิดต่างๆ มาจากตัวเราที่เข้าใจหรือแค่รู้จักเท่านั้น? ถ้าเรามั่นใจว่าเราแลกได้แค่ไหน? ให้ได้เท่าใด? นั้นล่ะคือความเข้าใจในตัวเราและผู้อื่นจริงๆ 
 


การนินทา...ที่จงใช้อย่างรู้คุณค่า...♥

 


เมื่อไม่นานมานี้ได้คุยกับเพื่อนและวิเคราะห์อะไรตลกๆเล่นๆ แล้วจับประเด็นกันฮาๆ

--------------------------------------------------------------
การนินทาเกิดจากอะไร เกิดจากการไม่พอใจอะไรซักอย่างต่อตัวบุคคล สิ่งของ หรือแม้กระทั่งสถานที่... 
แต่นั่นล่ะการนินทาความหมายคือการพูดถึงเรื่องร้ายที่เป็นเรื่องจริงของฝ่ายที่เราไม่ชอบในกลุ่มในที่ลับต่างๆ
แบบไม่เปิดเผยในสถานที่สาธารณะ ถ้าหากมันเป็นสาธารณะมันจะถูกเรียกว่า "การวิพากษ์วิจารณ์" ในทันที 
แต่ถ้ามันคือการพูดเรื่องร้ายที่ใส่ไข่ลงไปด้วยในที่ลับจะถูกเรียกว่า "การป้ายสี" แน่นอนเช่นกันถ้าสาธารณะจะเป็น
 "หมิ่นประมาท"

เอาล่ะ...เมื่อเข้าใจความหมายของคำว่านินทาจากย่อหน้าข้างต้นแล้วเราก็มามาเข้าประเด็นจริงๆกันเถอะ... 
การนินทาเป็นสิ่งที่ดีอย่างไร..? อ้าว!? มันจะดีอย่างไร? เห็นใครๆก็เกลียดกันหรือไม่ชอบกัน... ถ้าเราหาข้อดีมันเจอนะ งั้นเข้าเรื่องจะมาวิเคราะห์เล่นๆกัน...

การอิจฉาจนไปนินทานั้นเป็นข้อดีอย่างไร "ในยามที่เราไม่ก้าวเดินหรือไม่อยากเดินต่อ"
 เราสามารถที่จะ"กดใครต่อใครด้วยความสะใจเพียงแค่ใช้ลมปาก" 
"ความได้อะไรมาโดยง่ายนั้นล่ะคือความสะใจอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่เหมือนการเอาชนะ
หรือการขโมยอะไรมาซักอย่าง โดยที่ไม่ต้องแลกอะไรไปมาก..." การนินทาก็เช่นกัน 
"มันเป็นยาอย่างหนึ่งของคนที่ไม่ต้องการก้าวเดินไปข้างหน้าใน ณ เวลานั้น" หรือเป็นภาวะที่เขาและเธออาจจะเหนื่อยมากจนไม่อยากเดิน
(ภาวะท้อแท้)ในเวลานั้นก็เป็นสิ่ีงที่คิดว่าคนอยากจะพยายามน้อยเลือกจะกระทำ ซึ่งมันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง..ของการทำให้ตนเองรู้สึกมีคุณค่า
 การที่คุณจะพูดถึงข้อเสียของใครๆกับใครไม่ใช่เรื่องผิด...(ถ้ามันเป็นความจริงและคุณไม่พอใจ) เพราะอย่างไรถ้ามันรักษาภาวะความหมดคุณค่าของคุณในเวลานั้นได้ก็ทำไปเถอะ เพียงแต่คุณต้องเลือกคุยกับใครซักคนที่เขาและเธอไม่เป็นโทรโข่งก็พอ... 

เอาล่ะ..ได้ข้อสรุปว่า การนินทาอะไรหรือการพูดคุยเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับคนอื่น นี่..มันเป็นเรื่องธรรมชาติของคนเรา...
ที่ต้องการจะอยู่ในสังคม ต้องการที่จะทัดเทียม ต้องการที่จะมีค่า มันเป็นระบบสังคมอย่างหนึ่งที่ใครๆต้องเจอ
หรืออาจเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ จนกระทั่งมันเป็นระบบป้องกันตัวอย่างหนึ่ง แต่..นะ...แต่อย่าทำจนเป็นความเคยชินก็พอ... 
ไม่งั้นคุณจะเป็นบริบทข้างต้นที่เรากล่าวถึงน่ะ "ภาวะไม่เดิน.." หรือ "ไม่เดินก็คือไม่โต..." ซึ่งไม่ดีต่อตัวคุณในระยะยาว ดังนั้นควรใช้แต่พอดี...

 

เพ้อเจ้อ - ศิลปะกับความทะลึง

 

เราจะเล่าให้ฟังความแตกต่างระหว่างภาพนู้ดในเชิงศิลปะกับร่วมเพศแบบทะลึง (มุมมองตัวเองล้วนๆ)

เท่าที่ดูผ่านมาถ้าในเชิงเร้าอารมณ์หรือเรียกในเชิงศิลปะมันจะโฟกัสเฉพาะจุด เช่นคุณอยากฉายเรือนร่างคุณก็ถ่ายทอดมันออกมาในท่าทางและอื่นๆ เน้นสัดส่วน ความเว้า ความงาม ความแข็งแกร่ง หรือแค่กระทั่งใบหน้าที่สื่อถึงอารมณ์รักร่วมกันของสองเพศหรือ เพศสาม ก็คือศิลปะอย่างหนึ่ง มันจะเป็นการโฟกัสแค่จุดเดียวเน้นจุดนั้นจำเพาะ ถึงจะเห็นจุดลับก็ตาม เราจึงไม่รู้สึกว่าต้องการมันแบบปัจจัยปกติ แต่เราแค่รู้สึกอารมณ์ร่วมกับมันที่ไม่เกี่ยวกับทะลึง นั่นคือศิลปะ ศิลปะคือการเสนออะไรมาให้ผู้ร่วมได้รับทราบ ประมาณคนจะเปลือยก็ไม่เปลือย จะเปิดก็ไม่เปิด มีความลับมากมายให้เราต้องจิตนาการต่อ... (อิโรติกอาร์ตก็คือสิ่งนั้น)
****

แต่ความทะลึงมันมีสิ่งหนึ่งที่ถูกเอาเข้ามามากกว่าโฟกัสเฉพาะจุด นั้นคือมากกว่า 1 จุด ถ้าคุณสังเกตดีๆ ภาพในเชิงลามกหรือทะลึงจะมีส่วนประกอบที่มากกว่า 1 เสมอ เหงื่อ สีหน้า สัดส่วน และอื่นๆมากมาย เป็นการนำเสนอที่พร้อมเสริฟ์เข้าเต็มตา ไม่ว่าคุณอยากจะรับหรือไม่พร้อมใจรับมันก็ตาม.... แต่คุณก็รับรู้มันทั้งหมดโดยไม่ต้องจิตนาการต่อใดๆ มันจึงเรียกว่าทะลึงมั้ง การที่เราสอดส่องรับทราบทุกอนูของคนอื่นมันก็คือความทะลึงอย่างหนึ่ง...